วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ตอนที่ ๙ ทัพหลวงเคลื่อนพล ช้างทรงพระนเรศวรและพระเอกาทศรถฝ่าเข้าไปในกองทัพข้าศึก


โคลง๔   ๏
เบื้องบรมจักรพรรดิเกล้า     กษัตรา
เถลิงพิภพทวารา                    เกริ่นแกล้ว
สถิตเกยรัตนราชา                  อาสน์โอ่ องค์เอย
คอยฤกษ์เบิกยุทธ์แผ้ว           แผ่นพื้นหาวหน
๏ บัดดลวลาหกซื้อ                   ชระอับ อยู่แฮ
แห่งทิศพายัพยล                    เยือกฟ้า
มลักแลกระลายกระลับ        ลิวล่งไปเฮย
เผยผ่องภาณุเมศจ้า                แจ่มแจ้งแสงฉาน
๏ คัคนานต์นฤราสร้าง          ราคิน
คือระเบียบรัตนอินทนิล      คาดไว้
บริสุทธิ์สร่างมลทิน               ถ่องโทษ อยู่นา
นักษัตรสวัสดิเดชได้             โชคชี้ศุภผล ฯลฯ
(ร่าย)       เคลื่อนพลตามเกล็ดนาค ตามเต็มท่งแถวเถื่อน เกลื่อนกล่นแสนยาทัพ ถับปะทะไพรินทร์ ส่วนหัสดินอุภัย เจ้าพระยาไชยานุภาพ เจ้าพระยาปราบไตรจักร ตรับตระหนักสำเนียง เสียงฆ้องกลองปืนศึก อึกเอิกก้องกาหลง เร่งคำรนเรียกมัน ชันหูชูหางแล่น แปร้นแปร๋แลคะไขว่ บาทย่างใหญ่ดุ่มด่วน ป่วนกิริยาร่าเริง บำเทิงมันครั่นครึก เข้าสู้ศึกโรมราญ ควาญคัดท้ายบมิอยู่ วู่วางวิ่งฉับฉิว ปลิวประเล่ห์สมพาน ส่ำแสะสารแสนยา ขวาซ้ายแซงหน้าหลัง ทั้งทวยพลตนขุน ถ้วนทุกมุลมวลมาตย์ ยาตรบทันโทท้าว ด้าวศึกสู้สองสาร ราญศึกสู้สองไท้ ไร้พิริยะแห่ห้อม พร้อมแต่กลางควาญคช กำหนดสี่โดยเสร็จ เห็จเข้าใกล้กองหน้า ข้าศึกดูดาษเดียร ธระเมียรหมู่ดัสกร มอญพม่าดาดื่น เดินดุจคลื่นคลาฟอง นองน่านในอรรณเวศ ตรัสทอดพระเนตรเนืองบร โล่โรมรอนทวยสยาม หลามเหลือหลั่งคั่งคับ ซับซ้อนแทรกสับสน ยลบเป็นทัพเป็นกอง ธก็ไสสองสารทรง ตรงเข้าถีบเข้าแทง ด้วยแรงมันแรงกาย หงายงาเสยสารเศิก เพิกพังพ่ายบ่ายตน ปนปะไปไขว่คว้าง ช้างศึกได้กลิ่นมัน หันหัวหกตกกระหม่า บ่ากันเลี่ยงกันหลบ ประทบประทะอลวน สองคชชนชาญเชี่ยว เรี่ยวรณรงค์เริงแรง แทงถืบฉัดตะลุมบอน พม่ามอญตายกลาด ข้าศึกสาดปืนโซรม โรมกุฑัณฑ์ธนู ดูดั่งพรรษาซ้อง ไป่ตกต้องตนสาร ธุมาการเกิดกระลบ อบอลเวงฟากฟ้า ดูบ่รู้จักหน้า หนึ่งสิ้นแสงไถง แลนา
โคลง๔
๏ จึ่งไทเทเวศอ้าง                   สมมุติ
มิ่งมหิศวรมกุฎ                       เกศหล้า
เถลิงภพแผ่นอยุธย-               ยายิ่ง ยศแฮ
แสดงพระเดชฟุ้งฟ้า              เฟื่องด้าวดินไหว
๏ ภูวไนยผายโอษฐ์อื้น          โชยงการ
แก่เทพทุกถิ่นสถาน                 ฉชั้น
โสฬสพรหมพิมาน                กมลาสน์ แลนา
เชิญช่วยชุมโสตซั้น               สดับถ้อยตูแถลง
๏ ซึ่งแสร้งรังสฤษฏ์ให้          มาอุบัติ
ในประยูรเศวตฉัตร               สืบเชื้อ
หวังผดุงบวรรัตน                  ตรัสเยศ ยืนนา
ทำนุกพระศาสน์เกื้อ              ก่อสร้างแสวงผล
๏ กลใดไป่ช่วยแผ้ว               นภา ดลฤๅ
ใสสรว่างธุมา                          มืดม้วย
มลักเล็งเหล่าพาธา                   ทวยเศิก สมรแฮ
เห็นตระหนักเนตรด้วย         ดั่งนี้แหนงฉงาย
๏ พอถวายวรวากย์อ้าง          โอษฐ์พระ
ดาลมหาวาตะ                         ตื่นฟ้า
ทรหึงทรหวลพะ-                  พานพัด หาวแฮ
หอบธุมางค์จางเจ้า                จรัสด้าวแดนสมร
๏ ภูธรเมิลอมิตรไท้               ธำรง สารแฮ
ครบสิบหกฉัตรทรง              เทริดเกล้า
บ่จวนบ่จวบองค์                   อุปราช แลฤๅ
พลางเร่งขับคชเต้า                แต่ตั้งตาแสวง
๏ โดนแขวงขวาทิศท้าว        ทฤษฎี แลนา
บัด ธ เห็นขุนกรี                    หนึ่งไสร้
เถลิงฉัตรจัตุรพิรีย์                   เรียงคั่ง ขูเฮย
หนแห่งฉายาไม้                     ข่อยชี้เณอนาม
๏ ปิ่นสยามยลแท้ท่าน           คะเนนึก อยู่นา
ถวิลว่าขุนศึกสำ-                    นักโน้น
ทวยทัพเทียบพันลึก              แลหลาก หลายแฮ
ครบเครื่องอุปโภคโพ้น        เพ่งเพี้ยงพิศวง
โคลง๒
๏ สองสุริยพงศ์ผ่านหล้า        ขับคเชนทร์บ่ายหน้า
แขกเจ้าจอมตะเลง แลนา
๏ ไป่เกรงประภาพเท่าเผ้า     พักตร์ท่านผ่องฤๅเศร้า
สู้เสี้ยนไป่หนี หน้านา
๏ ไพรีเร่งสาดซ้อง                   โซรมปืนไฟไป่ต้อง
ตื่นเต้าแตกฉาน ผ้านนา

ถอดคำประพันธ์
ขณะสมเด็จพระนเรศวรประทับบนเกย เพื่อรอพิชัยฤกษ์เคลื่อนทัพหลวง ได้บังเกิดเมฆก้อนใหญ่เย็นเยือกลอยอยู่ทางทิศ พายัพ แล้วก็กลับแลดูท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้าโดยไม่มีอะไรบดบัง อันเป็นนิมิตที่แสดงพระบรมเดชานุภาพและชี้ให้เห็นความมีโชคดี สมเด็จพระนเรศวรและพระเอกาทศรถทรงเคลื่อนพลตาม เกล็ดนาค ตามตำราพิชัยสงคราม จนปะทะเข้ากับกองทัพข้าศึก ช้างพระที่นั่งทั้งสอง คือ พระเจ้าไชยานุภาพ และ เจ้าพระยาปราบไตรจักร ได้สดับเสียง ฆ้อง กลอง และเสียงปืนของข้าศึก ก็ส่งเสียงร้องด้วยความคึกคะนอง เพราะกำลังตกมัน ควาญบังคับไว้ไม่อยู่ มันวิ่งไปโดยเร็ว จนทหารในกองตามไม่ทัน มีแต่กลางช้างและควาญช้างสี่คนเท่านั้นที่ตามเสด็จไปด้วยจนเข้าไปใกล้กอง หน้าของข้าศึก ช้างศึกได้กลิ่น มัน ก็พากันตกใจหนีไปปะทะกับพวกที่ตามมาข้างหลัง ช้างทรงไล่แทงช้างของข้าศึกอย่างเมามัน ทหารพม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก ข้าศึกยิงปืนเข้าใส่ แต่ไม่ถูกช้างทรง การต่อสู้เป็นแบบตะลุมบอนจนฝุ่นตลบมองหน้ากันไม่เห็น เหมือนกับเวลากลางคืน สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสประกาศแด่เทวดาทั้งหลาย บนสวสรรค์ทั้งหกชั้น และพรหมทั้งสิบหกชั้นว่า ที่ให้พระองค์ท่านมาประสูตรเป็นพระมหากษัตริย์ครองราชย์สมบัติก็ด้วยหวังจะ ให้ทะนุบำรุงศาสนา และพระรัตนตรัยให้เจริญรุ่งเรือง เหตุใดเล่าเทวดาจึงไม่บันดาลให้ท้องฟ้าสว่างมองเห็นข้าศึกได้ชัดเจน พอดำรัสจบไม่นานก็เกิดพายุใหญ่พัดหอบเอาฝุ่นและควันหายไป ท้องฟ้าสว่างดังเดิม มองเห็นสนามรบได้ชัดเจน พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชาทรงช้างประทับยืนอยู่ใต้ต้นไม้ข่อย มีทหารห้อมล้อมและตั้งเครื่องสูงครบครัน ทั้งสองพระองค์ทรงไสช้างเข้าไปหาด้วยพระพักตร์ที่ผ่องใสไม่เกรงกลัวแม้แต่ น้อย ข้าศึกยิงปืนไฟเข้ามาแต่ก็มิได้ต้องพระองค์เลย

1 ความคิดเห็น: